วันพุธที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

++ สงคราม ทักษิณ-สนธิ ++

10 "อย่า" สำหรับติดตามข่าวสงคราม ทักษิณ-สนธิ



ประชาไท—30 พ.ย. 2548 ‘กาแฟดำ’ ซึ่งเป็นนามปากกาของ สุทธิชัย หยุ่น ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ เดอะเนชั่นเสนอ “เสมือนคู่มือ” การติดตามข่าวความขัดแย้งระหว่าง พ.ต.ท. ทักษิณฯ ชินวัตร นายรัฐมนตรี กับนายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ในคอลัมน์กาแฟดำ หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 29 พ.ย. 2548 โดยมีข้อเสนอพึงระวัง 10 ข้อคือ


1.อย่าให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอ้างว่าคุณเป็นของฝ่ายเขา ก่อนที่คุณจะพิจารณาใคร่ครวญให้ถ่องแท้เสียก่อนว่า น้ำหนักของแต่ละฝ่ายนั้นมีมากน้อยเพียงใด


2.อย่าเชื่อเพียงเพราะเขาอ้างว่า "ถูกต้องตามขั้นตอน" ตามกฎหมาย อย่าเชื่อเพียงเพราะด้านหนึ่งออกข่าวในช่องทีวีในเวลาไพร์มไทม์ และอย่าเชื่อเพียงเพราะคนอื่นบอกว่าน่าเชื่อ


3. อย่าเชื่อเพียงเพราะความดุดันของภาษา และอย่าเชื่อเพียงเพราะเขาเป็น "โฆษก" ของใคร จะเป็นโฆษกด้านการเมืองหรือกระบอกเสียงด้านศาสนาก็ตาม


4.อย่าฟังเฉพาะเรื่องปัจจุบัน อย่าเชื่ออดีตที่ข้างเดียวนำมาอ้างและอย่าคิดว่า อนาคตจะเท่ากับเอาปัจจุบันบวกกับอดีตเท่านั้น เพราะเดิมพันของเขากับเดิมพันของประเทศอาจจะไม่ใช่เรื่องเดียวกัน


5.อย่าถามว่าใคร "จริงใจกับประชาชน" มากกว่าใคร เพราะนี่ไม่ใช่การประกวดรางวัลคนดีศรีสังคม นี่เป็นการเผชิญหน้าที่ทั้งสองฝ่ายต้องการ "ชัยชนะ" เบ็ดเสร็จ ซึ่งแปลว่า อีกฝ่ายหนึ่งจะต้อง "แพ้" แต่ผลประโยชน์ประชาชนอาจจะไม่ได้อยู่ที่กติกาที่ทั้งสองฝ่ายตั้งขึ้นมาเสมือนหนึ่งเราต้องยอมรับ


6.อย่าหวั่นไหวกับข่าวลือว่า ใครจะทำอะไรมิดีมิร้ายด้วยกำลังหรืออำนาจเถื่อน นี่เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์แห่งการสัประยุทธ์ เพื่อดึงความสนใจของฝ่ายตรงกันข้ามเท่านั้น เพราะใครที่คิดจะใช้กติกานอกระบบ ก็ต้องเตรียมที่จะล่มสลายด้วยกติกานอกระบบเช่นกัน


7. ถามว่าจะเชื่อฝ่ายไหนดี? ตอบว่า อย่ากระโจนเข้าใส่ทั้งตัว, อย่าโหนกระแสข้างใดข้างหนึ่ง...จะเชื่อหรือไม่เชื่อ ให้ว่า เป็นเรื่องๆ ไป ประชาชนในระบอบประชาธิปไตยย่อมจะสงวนสิทธิที่จะไม่จำเป็นต้องเป็น "ตัวประกัน" ในกรณีของการที่ทั้งสองฝ่ายถล่มใส่กันอย่างไม่ลืมหูลืมตา


8.เรื่องนี้เกี่ยวกับผลประโยชน์ขัดแย้งส่วนตัวหรือสงครามตัวแทนหรือการต่อสู้ว่าด้วยเสรีภาพของสื่อ? ตอบว่า มีสีดำผสมขาวกลายบวกกับสีเทา เวลาและเนื้อหาของข้อสรุปเท่านั้นที่จะตัดสิน อีกไม่ช้าก็จะได้คำตอบ


9.ถ้าไม่อยากผิดหวัง อย่าคิดว่า นี่คือการปะทะระหว่างฝ่ายธรรมะกับอธรรม ให้ทำใจเสียว่าสถานการณ์อาจจะพลิกผันไปในทิศทางที่ประชาชนอาจจะคาดไม่ถึง และเตรียมตัวเตรียมใจว่าเรื่องนี้อาจจะจบลงด้วยที่คุณต้องอุทานว่า "เฮ้ย, ทำไมจบอย่างนี้ได้หว่า?"


10.อย่าหวั่นไหว, อย่ากลัวอำนาจ, อย่าตกตื่น, อย่าตามแห่...อย่าให้ใครบอกว่า เราเป็นแค่พวกชอบมันส์, เอาแต่เพียงสะใจ, หรือทาสประชานิยมที่ปล่อยไม่ไป เพราะเราถูกปรามาสและเหยียบย่ำมาเกินพอแล้ว




วันจันทร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

“ ทำอย่างไร...ถึงจะไม่หลับคาโต๊ะกวดวิชา ”



9 วิธี “ทำอย่างไร...ถึงจะไม่หลับคาโต๊ะกวดวิชา”


1. ถ้ารู้ว่าตัวเองต้องเข้าเรียนแต่เช้า : ก็อย่าดูหนังดูละครจนดึกเกินสี่หรือห้าทุ่ม เพราะเวลานอนที่ขาดไปมันมักจะมาเอาคืนช่วงเรียนพิเศษที่มีอาจารย์ในดีวีดีมากล่อมเสมอ ข้อนี้สำคัญมาก เพราะหากนอนดึกแล้ว ก็ไม่มีวิธีไหนที่จะมาทำให้เราหายง่วงได้ นอกจากไปกินกระทิงแดง (แต่ก็ไม่แนะนำว่าไม่ดีต่อสุขภาพ)


2. พกขนมหรือน้ำเข้าไปด้วย : แต่ !!! ห้ามกินตั้งแต่เริ่มเรียน เพราะจะทำให้ง่วงง่ายมากกกกก ให้กินเมื่อเริ่มง่วงเท่านั้น (บางทีลองซื้อขนมที่เวลาแกะแล้วเสียงดังๆ เพราะเวลาแกะขนมนั้นจะทำให้เราตื่นเต้นและกลัวว่าคนข้างๆ จะด่า (มันมีวิธีอย่างนี้ด้วยเรอะ) ทำให้ตาสว่าง แต่ถึงอย่างไร ถ้าคิดว่าจะรบกวนคนข้างๆ ละก็ ก็ให้ซื้อขนมจุกจิกเล็กๆน้อยๆไปแทน) เมื่อหายง่วงก็ให้หยุดกินแล้วตั้งใจเรียนต่อไปซะ


3. อุปกรณ์สำหรับเรียนกวดวิชา : สำคัญนะคะ เพราะเวลาเราง่วงๆ ก็หยิบปากกาสี หรือพวกไฮไลท์มาวาดๆ เขียนในหนังสือให้มันคัลเลอร์ฟูลไปเลย แต่อย่าทำให้เลอะเทอะไป เพราะเวลาทบทวนหนังสืออาจจะทำให้เรามึนได้ ให้วาดๆ เขียนๆ ด้านหลังหนังสือก็ได้ หรือไม่ก็เวลาอาจารย์ให้เน้นอะไรก็ใส่สีให้พอสวยงามก็ทำให้เราหายง่วงได้เช่นกันค่ะ แต่ถึงยังไงก็ต้องตั้งใจฟังอาจารย์อย่ามัวแต่วาดเพลินนะคะ


4. ฝึกจินตนาการผ่านกวดวิชา : ลองมองดูอาจารย์สอนกวดวิชาสิคะ ท่านจะมีอะไรให้เราได้จินตนาการไปเรื่อยเปื่อยอยู่เสมอ ตั้งแต่คำพูดติดปากของอาจารย์ สีเสื้อผ้า ทรงผม เสียงหัวเราะของอาจารย์ บางที...มุขฝืดๆของอาจารย์ก็ช่วยพวกเราจากความง่วงงันได้เหมือนกันนะ


5. สำหรับคนที่ชอบหลับคาโต๊ะกวดวิชา : เราขอแนะนำ!! ให้ลองก้มลงไปนอนโต๊ะคนอื่นดูค่ะ (หา!!) แล้วจะไม่ง่วงอีกเลย (แต่จะได้เบ้าตาหมีแพนด้ามาแทน ...อ้าว)


6. ตั้งใจฟังอาจารย์ : เรียนให้เต็มที่ คำนวณอะไรก็คิดๆๆๆๆๆ คิดผิดก็คิดมันไป อาจารย์เฉลยว่าผิดแล้วก็ลบแอบๆ หน่อย (อายคนข้างๆ) พอเวลาคำนวณถูกก็เปิดมันเลย! ดูเส่ะๆพวกหล่อน ฉันคิดถูก ว่ะฮ่าๆๆๆ


7. สำหรับคนที่กินขนมแล้วชอบหลับ : แนะนำค่ะ ลูกอมรสเปรี้ยวๆ กินแล้วตื่นเต็มตาเลยค่ะ (แต่ถ้ากินบ่อยๆอาจทำให้คุณชินและหลับได้แม้กระทั้งในปากเปรี้ยวจี้ด) หรือไม่ก็ลูกอมมิ้นท์เย็นๆ แบบว่าเย็นสุดขั้ว กินแล้วเย็นไปถึงรูขุมขนได้ยิ่งดี นั่นจะทำให้คุณตื่น (แต่บางคนอาจจะหลับ) เรื่องลูกอมต้องค่อยๆลองไปสลับไปได้เรื่อยๆ ยิ่งดี วันนึงก็รสนึง อีกวันก็รสใหม่ จะทำให้เราไม่คุ้นและไม่ง่วง


8. หากเรียนไปแล้วเริ่มจะเข้าเฝ้าเทวดา : ให้นึกถึงเวลาที่ใกล้จะหมดสิคะ นั่นอาจจะทำให้รู้สึกลัลล้าและตื่นเต็มตาได้ แต่ถ้าหากเพิ่งจะเริ่มเรียนแล้วง่วงละก็ ลองไปล้างหน้าล้างตาดูนะคะ


9. บรรยากาศในห้องเรียน : เป็นส่วนหนึ่งทำให้เคลิ้มได้ บางทีก็เย็นจนปอดจะแข็งตาย บางทีก็ร้อนตับจะออกมานอกร่าง ขอแนะนำว่าให้ลองใจกล้าเดินไปบอกพี่ที่คุมเลยค่ะ ว่าร้อนหรือหนาว จะได้ไม่รู้สึกเคลิ้มหรือไม่เครียดขณะเรียน





วันจันทร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ไม้จิ้มฟัน
















เปิด เทอม แล้ว
^^

วันอาทิตย์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2552

เศรษฐกิจพอเพียง

เศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญาที่ชี้แนวทางการดำรงชีวิต ที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมีพระราชดำรัสแก่ชาวไทยนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2517 เป็นต้นมา และถูกพูดถึงอย่างชัดเจนในวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2540 เพื่อเป็นแนวทางการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศไทย ให้สามารถดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนในกระแสโลกาภิวัตน์และความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ
เศรษฐกิจพอเพียงมีบทบาทต่อการกำหนดอุดมการณ์การพัฒนาของประเทศ โดยปัญญาชนในสังความไทยหลายท่านได้ร่วมแสดงความคิดเห็น อย่างเช่น
ศ.นพ.ประเวศ วะสี, ศ.เสน่ห์ จามริก, ศ.อภิชัย พันธเสน, และศ.ฉัตรทิพย์ นาถสุภา โดยเชื่อมโยงแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงเข้ากับวัฒนธรรมชุมชน ซึ่งเคยถูกเสนอมาก่อนหน้าโดยองค์กรพัฒนาเอกชนจำนวนหนึ่งนับตั้งแต่พุทธทศวรรษ 2520 และได้ช่วยให้แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในสังคมไทย
สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้เชิญผู้ทรงคุณวุฒิในทางเศรษฐกิจและสาขาอื่น ๆ มาร่วมกันประมวลและกลั่นกรองพระราชดำรัสเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อบรรจุในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 9 และได้จัดทำเป็นบทความเรื่อง "ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง" และได้นำความกราบบังคลทูลพระกรุณาขอพระราชทานพระบรมราชวินิจฉัย เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2542 โดยทรงพระกรุณาปรับปรุงแก้ไขพระราชทานและทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้นำบทความที่ทรงแก้ไขแล้วไปเผยแพร่ เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนประชาชนโดยทั่วไป เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2542
ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงนี้ได้รับการเชิดชูเป็นอย่างสูงจาก
องค์การสหประชาชาติ ว่าเป็นปรัชญาที่มีประโยชน์ต่อประเทศไทยและนานาประเทศ และสนับสนุนให้ประเทศสมาชิกยึดเป็นแนวทางสู่การพัฒนาแบบยั่งยืน โดยมีนักวิชาการและนักเศรษฐศาสตร์หลายคนเห็นด้วยกับแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง แต่ในขณะเดียวกัน บางสื่อได้มีการตั้งคำถามถึงการยกย่องขององค์การสหประชาชาติ รวมทั้งความน่าเชื่อถือของรายงานศึกษาและท่าทีขององค์การ
แนวคิด
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ได้พัฒนาหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อที่จะให้พสกนิกรชาวไทยได้เข้าถึงทางสายกลางของชีวิตและเพื่อคงไว้ซึ่งทฤษฏีของการพัฒนาที่ยั่งยืน ทฤษฎีนี้เป็นพื้นฐานของการดำรงชีวิตซึ่งอยู่ระหว่าง สังคมระดับท้องถิ่นและตลอดระดับสากล จุดเด่นของแนวปรัชญานี้คือ แนวทางที่สมดุล โดยชาติสามารถทันสมัย และก้าวสู่ความเป็นสากลได้ โดยปราศจากการต่อต้านกระแส
โลกาภิวัฒน์ และการอยู่รวมกันของทุกคนในสังคม
หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมีความสำคัญในช่วงปี พ.ศ. 2540 ซึ่งเป็นช่วงที่ประเทศไทย ต้องประสบปัญหาภาวะทางเศรษฐกิจ และ ต้องการรักษาความมั่นคงและเสถียรภาพ เพื่อที่จะยืนหยัดในการพึ่งตนเอง และ พัฒนานโยบายที่สำคัญเพื่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำริว่า มันไม่ได้มีความจำเป็นที่เราจะกลายเป็น
ประเทศอุตสาหกรรมใหม่ พระองค์ได้ทรงอธิบายว่า ความพอเพียงและการพึ่งตนเอง คือ ทางสายกลางที่จะป้องกันการเปลี่ยนแปลงความไม่มั่นคงของประเทศได้
เศรษฐกิจพอเพียงเชื่อว่าจะสามารถปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางสังคมของชมชุนให้ดีขึ้นโดยมีปัจจัย 2 อย่างคือ
การผลิตจะต้องมีความสัมพันธ์กันระหว่าง ปริมาณ
ผลผลิตและการบริโภค
ชุมชนจะต้องมีความสามารถในการจัดการ
ทรัพยากรของตนเอง
ผลที่เกิดขึ้นคือ
เศรษฐกิจพอเพียงสามารถที่จะคงไว้ซึ่งขนาดของประชากรที่ได้สัดส่วน
ใช้เทคโนโลยีได้อย่างเหมาะสม
รักษาสมดุลของ
ระบบนิเวศ และปราศจากการแทรกแซงจากปัจจัยภายนอก
หลักปรัชญา

...การพัฒนาประเทศจำเป็นต้องทำตามลำดับขั้น ต้องสร้างพื้นฐาน คือ ความพอมีพอกิน พอใช้ของประชาชนส่วนใหญ่เป็นเบื้องต้นก่อน โดยใช้วิธีการและใช้อุปกรณ์ที่ประหยัด แต่ถูกต้องตามหลักวิชา เมื่อได้พื้นฐานมั่นคงพร้อมพอควรและปฏิบัติได้แล้ว จึงค่อยสร้างค่อยเสริมความเจริญและฐานะเศรษฐกิจขั้นที่สูงขึ้นโดยลำดับต่อไป หากมุ่งแต่จะทุ่มเทสร้างความเจริญ ยกเศรษฐกิจขึ้นให้รวดเร็วแต่ประการเดียว โดยไม่ให้แผนปฏิบัติการสัมพันธ์กับสภาวะของประเทศและของประชาชนโดยสอดคล้องด้วย ก็จะเกิดความไม่สมดุลในเรื่องต่าง ๆ ขึ้น ซึ่งอาจกลายเป็นความยุ่งยากล้มเหลวได้ในที่สุด...

— พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ณ หอประชุมมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วันพฤหัสบดีที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2517

...คนอื่นจะว่าอย่างไรก็ช่างเขาจะว่าเมืองไทยล้าสมัย ว่าเมืองไทยเชย ว่าเมืองไทยไม่มีสิ่งใหม่แต่เราอยู่ อย่างพอมีพอกิน และขอให้ทุกคนมีความปรารถนาที่จะให้เมืองไทยพออยู่พอกิน มีความสงบ ช่วยกันรักษาส่วนร่วม ให้อยู่ที่พอสมควร ขอย้ำพอควร พออยู่พอกิน มีความสงบไม่ให้คนอื่นมาแย่งคุณสมบัตินี้ไปจากเราได้...

— พระราชกระแสรับสั่งในเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงแก่ผู้เข้าเฝ้าถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาแต่พระพุทธศักราช 2517

การจะเป็นเสือนั้นมันไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่เราพออยู่พอกิน และมีเศรษฐกิจการเป็นอยู่แบบพอมีพอกิน แบบพอมีพอกิน หมายความว่า อุ้มชูตัวเองได้ ให้มีพอเพียงกับตัวเอง

— พระราชดำรัส "เศรษฐกิจแบบพอเพียง" พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พระราชทานเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2540

...แต่เศรษฐกิจพอเพียงนั้น เขาตีความว่าเป็นเศรษฐกิจชุมชน คือหมายความว่า ให้พอเพียงในหมู่บ้าน หรือในท้องที่ ให้สามารถที่จะมีพอกิน มันเริ่มด้วยพอกิน พอมีพอกิน อันนี้ พอมีพอกินได้พูดมาหลายปี สิบกว่าปีมาแล้ว ให้พอมีพอกิน แต่ว่าพอมีพอกิน มันเป็นเริ่มต้นของเศรษฐกิจ เมื่อปีที่แล้วบอกว่าถ้าพอมีพอกิน เซลฟิเชนซี่ คือ พอมีพอกินของตัวเองนั้น เป็นเศรษฐกิจสมัยหิน มันไม่ใช่ว่าเป็นเศรษฐกิจพอเพียง เป็นเศรษฐกิจสมัยหิน สมัยหินนั้น เป็นเศรษฐกิจพอเพียงเหมือนกัน แต่ว่าค่อยๆ พัฒนาขึ้นมา ก็ต้องมีการแลกเปลี่ยนกัน มีการช่วยระหว่างหมู่บ้าน หรือระหว่างอำเภอ จังหวัด ประเทศ ก็ต้องมีการแลกเปลี่ยน มีการไม่พอเพียงกัน ถึงบอกว่า ถ้ามีเศรษฐกิจพอเพียง เพียงเศษ ๑ ส่วน ๔ ก็จะพอแล้ว จะใช้ได้ เพราะว่าถ้ามีเศรษฐกิจพอเพียง เพียงเศษ ๑ ส่วน ๔ สมมุติว่าเดี๋ยวนี้ไฟดับ ถ้าไม่มีเศรษฐกิจพอเพียง ไฟดับ ไฟหลวง ไฟฟ้าหลวง หรือไฟฟ้าฝ่ายผลิตเขาดับหมด พังหมด จะทำอย่างไร ที่ๆ ต้องใช้ไฟฟ้าก็ต้องแย่ไป บางคนที่ต่างประเทศ เวลาไฟดับ เขาฆ่าตัวตาย แต่ของเราไฟดับ เราเคยชิน เราไม่เป็นไร ไฟดับ ถ้ามีความจำเป็น เศรษฐกิจพอเพียงแบบไม่เต็มที่ เรามีเครื่องปั่นไฟ ก็ใช้ปั่นไฟ หรือถ้าขั้นโบราณกว่า มืดก็จุดเทียน มีทางที่ให้แก้ปัญหาเสมอ งั้นเศรษฐกิจพอเพียงนี้ ก็มีเป็นขั้นๆ แต่ว่าต้องดูว่าเศรษฐกิจพอเพียงนี้ ที่จะมาบอกว่า ให้พอพียงเฉพาะตัวเองร้อยเปอร์เซนต์ เป็นสิ่งที่ทำไม่ได้ จะต้องมีการแลกเปลี่ยน ต้องมีการช่วยกัน ถ้ามีการช่วยกันแลกเปลี่ยน ก็ไม่ใช่พอเพียงแล้ว
แต่ว่าพอเพียง ในทฤษฎีหลวงคือ ให้สามารถดำเนินงานได้...

— พระราชดำรัสเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 23 ธันวาคม 2542
เศรษฐกิจพอเพียงเป็นปรัชญาที่ยึดหลักทางสายกลาง ที่ชี้แนวทางการดำรงอยู่และปฏิบัติของประชาชนในทุกระดับให้ดำเนินไปในทางสายกลาง มีความพอเพียง และมีความพร้อมที่จะจัดการต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลง ซึ่งจะต้องอาศัยความรอบรู้ รอบคอบ และระมัดระวัง ในการวางแผนและดำเนินการทุกขั้นตอน ทั้งนี้ เศรษฐกิจพอเพียงไม่ใช่เพียงการประหยัด แต่เป็นการดำเนินชีวิตอย่างสมดุลและยั่งยืน เพื่อให้สามารถอยู่ได้แม้ในโลก
โลกาภิวัตน์ที่มีการแข่งขันสูง

แผนภาพแสดงแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง 3 ห่วง 2 เงื่อนไข
ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงที่ทรงปรับปรุงพระราชทานเป็นที่มาของนิยาม "3 ห่วง 2 เงื่อนไข" ที่
คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นำมาใช้ในการรณรงค์เผยแพร่ ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ผ่านช่องทางต่าง ๆ อยู่ในปัจจุบัน ซึ่งประกอบด้วยความ "พอประมาณ มีเหตุผล มีภูมิคุ้มกัน" บนเงื่อนไข "ความรู้" และ "คุณธรรม"
อภิชัย พันธเสน ผู้อำนวยการสถาบันการจัดการเพื่อชนบทและสังคม ได้จัดแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงว่าเป็น "ข้อเสนอในการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจตามแนวทางของพุทธธรรมอย่างแท้จริง" ทั้งนี้เนื่องจากในพระราชดำรัสหนึ่ง ได้ให้คำอธิบายถึง เศรษฐกิจพอเพียง ว่า "คือความพอประมาณ ซื่อตรง ไม่โลภมาก และต้องไม่เบียดเบียนผู้อื่น"
ระบบเศรษฐกิจพอเพียงมุ่งเน้นให้บุคคลสามารถประกอบอาชีพได้อย่างยั่งยืน และใช้จ่ายเงินให้ได้มาอย่างพอเพียงและประหยัด ตามกำลังของเงินของบุคคลนั้น โดยปราศจากการกู้หนี้ยืมสิน และถ้ามีเงินเหลือ ก็แบ่งเก็บออมไว้บางส่วน ช่วยเหลือผู้อื่นบางส่วน และอาจจะใช้จ่ายมาเพื่อปัจจัยเสริมอีกบางส่วน สาเหตุที่แนวทางการดำรงชีวิตอย่างพอเพียง ได้ถูกกล่าวถึงอย่างกว้างขวางในขณะนี้ เพราะสภาพการดำรงชีวิตของสังคมทุนนิยมในปัจจุบันได้ถูกปลูกฝัง สร้าง หรือกระตุ้น ให้เกิดการใช้จ่ายอย่างเกินตัว ในเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องหรือเกินกว่าปัจจัยในการดำรงชีวิต เช่น การบริโภคเกินตัว ความบันเทิงหลากหลายรูปแบบ ความสวยความงาม การแต่งตัวตามแฟชั่น การพนันหรือเสี่ยงโชค เป็นต้น จนทำให้ไม่มีเงินเพียงพอเพื่อตอบสนองความต้องการเหล่านั้น ส่งผลให้เกิดการกู้หนี้ยืมสิน เกิดเป็นวัฏจักรที่บุคคลหนึ่งไม่สามารถหลุดออกมาได้ ถ้าไม่เปลี่ยนแนวทางในการดำรงชีวิต
การนำไปใช้ในประเทศไทย
ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงนี้ ถูกใช้เป็นกรอบแนวความคิดและทิศทางการพัฒนาระบบเศรษฐกิจมหภาคของไทย ซึ่งบรรจุอยู่ใน
แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 10 เพื่อมุ่งสู่การพัฒนาที่สมดุล ยั่งยืน และมีภูมิคุ้มกัน เพื่อความอยู่ดีมีสุข มุ่งสู่สังคมที่มีความสุขอย่างยั่งยืน หรือที่เรียกว่า "สังคมสีเขียว" ด้วยหลักการดังกล่าว แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 10 นี้จะไม่เน้นเรื่องตัวเลขการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่ยังคงให้ความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจแบบทวิลักษณ์ หรือระบบเศรษฐกิจที่มีความแตกต่างกันระหว่างเศรษฐกิจชุมชนเมืองและชนบท
แนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ยังถูกบรรจุใน
รัฐธรรมนูญของไทย เช่น รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ในส่วนที่ 3 แนวนโยบายด้านการบริหารราชการแผ่นดิน มาตรา 78 (1) ความว่า: "บริหารราชการแผ่นดินให้เป็นไปเพื่อการพัฒนาสังคม เศรษฐกิจ และความมั่นคง ของประเทศอย่างยั่งยืน โดยต้องส่งเสริมการดำเนินการตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติในภาพรวมเป็นสำคัญ"
ปัญหาหนึ่งของการนำปรัญชาเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้ก็คือ ผู้นำไปใช้อาจยังไม่ได้ศึกษาหรือไม่มีความรู้เพียงพอ ทั้งยังไม่กล้าวิเคราะห์หรือตั้งคำถามต่อตัวปรัชญา เนื่องจากเป็นปรัชญาของพระมหากษัตริย์
สมเกียรติ อ่อนวิมล เรียกสิ่งนี้ว่า "วิกฤตเศรษฐกิจพอเพียง" โดยสมเกียรติมีความเห็นว่า ผู้นำไปใช้อาจไม่รู้ว่าปรัชญานี้แท้จริงคืออะไร ซึ่งอาจเพราะสับสนว่า เศรษฐกิจพอเพียงกับทฤษฎีใหม่นั้นเป็นเรื่องเดียวกัน ทำให้เข้าใจผิดว่า เศรษฐกิจพอเพียงหมายถึงการปฏิเสธอุตสาหกรรมแล้วกลับไปสู่เกษตรกรรม นอกจากนี้ยังมีความไม่รู้ว่าจะนำปรัชญานี้ไปใช้ประโยชน์ได้อย่างไร และวิจารณ์โครงการในยุครัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ที่ใช้คำว่า "เศรษฐกิจพอเพียง" เป็นข้ออ้างในการทำกิจกรรมใด ๆ เพื่อให้เกิดภาพลักษณ์ที่ดีว่าได้สนองพระราชดำรัส หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ "เศรษฐกิจพอเพียง" ถูกใช้เพื่อเป็นเครื่องมือเพื่อประโยชน์ส่วนตัว และได้วิจารณ์ว่ารัฐบาลยังไม่ได้ใช้อะไรเลยเกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียง แต่พูดควบคู่กับการเอาทุนนิยม 100 เปอร์เซ็นต์ลงไป ซึ่งรัฐบาลควรต้องปรับทิศทางใหม่ เพราะรัฐบาลไม่ได้เอาเศรษฐกิจพอเพียงเป็นปรัชญาและเป็นนโยบายทางวัฒนธรรมและสังคม สมเกียรติยังมีความเห็นด้วยว่าความไม่เข้าใจนี้ อาจเกิดจากการสับสนว่าเศรษฐกิจพอเพียงกับทฤษฎีใหม่นั้นเป็นเรื่องเดียวกัน ทำให้มีความเข้าใจว่า เศรษฐกิจพอเพียงหมายถึงการปฏิเสธอุตสาหกรรมแล้วกลับไปสู่เกษตรกรรม ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิด
สิ่งที่สมเกียรติเสนอนี้ สอดคล้องกับที่ ชนิดา ชิตย์บัณฑิตย์ เสนอเช่นกันว่า เศรษฐกิจพอเพียงมีความหมายที่ลื่นไหลไปมา ไม่ผูกติดกับรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง อาจกล่าวได้ว่ามีนัยยะทางการเมืองแฝงอยู่ในการนำเสนอเสมอ ดังนั้น ถ้าพิจารณาในแง่อุดมการณ์ จำเป็นต้องดูบริบทของกลุ่มที่นำมาใช้หรือตีความ ว่าสร้างความชอบธรรมให้กับการพัฒนารูปแบบใด หรือมีนัยยะทางการเมืองอะไรอยู่เบื้องหลัง
นายสุรเกียรติ เสถียรไทย ในฐานะรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศ ได้กล่าวเมื่อวันที่ 24 พศจิกายน พ.ศ. 2547 ในการประชุมสุดยอด The Francophonie Ouagadougou ครั้งที่ 10 ที่ Burkina Faso ว่า ประเทศไทยได้ยึดแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง ควบคู่กับ "การพัฒนาแบบยั่งยืน" ในการพัฒนาประเทศทั้งทางด้านการเกษตรกรรม เศรษฐกิจ และการแข่งขัน ซึ่งเป็นการสอดคล้องเป้าหมายแนวทางของนานาชาติในประชาคมโลก โดยยกตัวอย่างการแก้ปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจ พ.ศ. 2540 ซึ่งเมื่อยึดหลักปรัชญาในการแก้ปัญหาสามารถทำให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ ของไทยเติบโตได้ถึงร้อยละ 6.7


วันศุกร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2552

^^

วันสอบปลายภาควันแรกก็ได้จบไป


ทำกันได้รึป่าว ***

วันอาทิตย์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2552

เชื่อเรื่องนกแสกกันเปล่า !!!


คนโบราณเขามีความเชื่อว่า ถ้าบ้านไหนมีคนเจ็บ คนสูงอายุ หากมีนกแสกบินผ่านหลังคาบ้านแล้วร้องขึ้น แซ๊กๆๆ คนในบ้านที่เจ็บก็จะตาย ผู้เฒ่าผู้แก่เล่าให้ฟัง เพราะเหตุนี้เขาจึงเรียกนกผี แต่ที่จริงนกแสกช่วยกินหนู ความเชื่อเรื่องนกผีคุณเคยได้ยินไหม และคุณเชื่อเรื่องนี้แค่ไหนถ้ามีประสบการณ์ก็โปรดเล่าให้ฟังบ้าง ปัจจุบันนกแสกตัวเป็นๆคงหาดูยาก ความเชื่อนี้อาจจะหายไป

"นกแสก" ซึ่งเคยสร้างความเชื่อกับคนเฒ่าคนแก่ ให้เกลียดกลัวหนักหนาว่า หากมันไปส่งเสียงร้องที่หลังคาบ้านไหนภายใน 3 วัน 7 วัน ต้องมีคนที่รักตายจากไป




วันศุกร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2552

+ โลกร้อนส่งผล100ปีระดับน้ำทะเลพุ่ง1เมตร +



องค์กรอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมชื่อดังของโลก ประเมินว่า ระดับน้ำทะเลจะเพิ่มสูงกว่า 1 เมตร ในราว 100 ปีข้างหน้า


กองทุนสัตว์ป่าโลก หรือ "ดับเบิลยูดับเบิลยูเอฟ" (WWF) ซึ่งเป็นองค์กรอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมระหว่างประเทศ คาดการณ์ว่าในปีพ.ศ. 2643 หรือเกือบ 100 ปี

ข้างหน้า ระดับน้ำทะเลจะเพิ่มขึ้นถึง 1.2 เมตร ซึ่งมากกว่าตัวเลขที่สหประชาชาติคาดการณ์เอาไว้ที่ 59 เซนติเมตรถึง 1 เท่าตัว


"ภาวะโลกร้อนจะส่งผลให้น้ำแข็งขั้วโลก ทั้งขั้วโลกเหนือและใต้ละลาย ทำให้ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้นและเกิดน้ำท่วม ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อประชา กรถึง 1 ใน 4 ของจำนวนประชากรโลก ดังนั้นเราจึงตัดสินใจแจ้งเตือนเรื่องดังกล่าวก่อนที่จะมีการประชุมแก้ปัญหาโลกร้อนที่ประเทศเดนมาร์ก ในเดือนธันวาคม 2552"


* ทำไมโดนัท...ถึงต้องมี " รู " ตรงกลาง *



โดนัท (Doughnut, Donut) เป็นขนมแป้งทอดหรืออบ ที่มีเนื้อคล้ายกับขนมเค้ก มีลักษณะกลมมีรูตรงกลางคล้ายกับห่วงยาง มีหลายรสชาติ ถ้าเป็นของไทยจะมีน้ำตาลอยู่ที่ผิวของขนม โดนัทสามารถแบ่งออกตามกรรมวิธีการผลิตได้เป็น2 ประเภท คือ โดนัทยีสต์ และโดนัทเค้ก


กระบวนการผลิตโดนัทยีสต์นั้น จะใช้ยีสต์เป็นส่วนประกอบในการหมักแป้งให้ขึ้นฟู ซึ่งแตกต่างจากโดนัทเค้ก จะใช้ผงฟูในการหมักแป้งให้ขึ้นฟู ดังนั้นรสชาติ และเนื้อสัมผัสจะมีความแตกต่างกัน เนื่องจากโดนัทเป็นเพียงแป้งทอดธรรมดา ไม่มีรสชาติ ผู้ผลิตจึงได้เพิ่มสิ่งต่างๆลงไป เพื่อให้โดนัทมีรสชาติที่ดีขึ้น อาทิ สอดไส้ คลุกน้ำตาล เคลือบหน้าโดนัทด้วยสีสรรต่างๆ

ปัจจุบันโดนัทเป็นที่นิยมอย่างมาก โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่น สามารถหาซื้อได้ตั้งแต่บนห้างสรรพสินค้าจนถึงตลาดนัด ราคาขายแตกต่างกันไปตามแต่ละสถานที่
ขนมโดนัทซึ่งเป็นขนมพื้นเมืองของเนเธอแลนด์ แต่เดิมไม่มีรูตรงกลาง แต่เป็นแป้งทอดมีรสหวาน บางครั้งโรยน้ำตาลด้วย มีชื่อภาษาดัตช์ที่แปลเป็นไทยได้ว่า ขนมน้ำมัน (oil cake) ชาวยุโรปที่อพยพไปสหรัฐอเมริกาในต้นศตวรรษที่17 ได้นำขนมประเภทนี้ไปด้วยเนื่องจากขนมนี้มีรูปร่างกลมเล็กเท่าลูกวอลนัท ชาวนิวอิงแลนด์จึงเรียกขนมนี้ใหม่ว่า โด ซึ่งแปลว่า ก้อนแป้งรูตรงกลาง


โดนัทเพิ่งเกิดขึ้นในช่วงครึ่งแรกของศตวรรษที่ 19เมื่อนาย แฮนสัน เกรกอรี กัปตันเรือชาวเมืองรอคพอท รัฐเมน เจาะรูแป้งโดนัทที่มารดากำลังจะทอด เพราะคิดว่าการขยายพื้นผิวหน้าของขนม จะทำให้ทอดได้ง่ายขึ้นและสุกเร็วขึ้น เพราะแต่เดิมนั้น ตรงกลางของโดนัทมักจะแฉะสุกไม่ทั่ว เมืองรอคพอทมีความภาคภูมิใจในรูของโดนัทมาก ถึงกับสร้างป้ายทองแดงจารึกเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ครั้งนี้เอาไว้


วันอาทิตย์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2552

* แอลกอฮอล์! ดื่มอย่างไรให้ได้ประโยชน์ ??




มีวิจัยจากประเทศฝรั่งเศส หรือ เฟรนพาราดอกซ์ (French aradox) งานวิจัยนี้ ศึกษาคนที่ดื่มไวน์เป็นประจำ แต่มีปัญหาโรคหัวใจน้อย ทั้งๆ ที่กินอาหารไขมันสูง ความดี จึงถูกยกให้กับสารแอนติออกซิแดนท์ในไวน์แดง แต่นักวิจัยเชื่อว่าสิ่งที่ป้องกัน โรคหัวใจที่แท้จริงคือแอลกอฮอล์ในไวน์ ซึ่งน่าจะหมายความว่าไม่ว่าเบียร์ ไวน์ หรือวิสกี้ อาจให้ประโยชน์ต่อหัวใจพอๆ กันถ้าดื่มพอควร


แอกอฮอล์กับหัวใจ

ข้อดี : แอลกอฮอล์ช่วยเพิ่มระดับเอชดีแอลซึ่งเป็นคอเลสเทอรอลที่ดี ลดการแข็งตัว ของเกร็ดเลือด ลดการดื้อต่ออินซูลิน ซึ่งช่วยป้องกันโรคหัวใจสำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงจาก เบาหวาน ความดันโลหิตสูงและในผู้ที่มีประวัติหัวใจวายมาก่อน ปัจจุบันนักวิจัยชาวยุโรป เชื่อว่าแอลกอฮอล์เกี่ยวข้องกับระดับสารที่ทำให้เกิดการอักเสบ เช่น สารซีอาร์พี หากทำให้ สารนี้ลดลงจะป้องกันโรคหัวใจได้


ข้อเสีย : การดื่มแอลกอฮอลล์วันละ 3 ดริ๊งค์ขึ้นไปอาจทำให้อ้วน เพิ่มความเสี่ยงโรค ความดันโลหิตสูง ไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์สูง เส้นเลือดสมองตีบหรือแตก หัวใจ ล้มเหลว ดร.ร็อค แจ็คสัน นักระบาดวิทยาไม่เชื่อในข้อดีของแอลกอฮอลล์เพราะข้อมูลการ วิจัยส่วนใหญ่ไม่สามารถพิสูจน์ผลได้ว่าแอลกอฮอลล์ให้ผลดีต่อหัวใจจริง


แอลกอฮอล์และสมอง

ข้อดี : การดื่มพอควรช่วยป้องกันความเสี่ยงอัลไซเมอร์และความจำเสื่อม เมื่อนักวิจัย แห่งศูนย์การแพทย์เบธอิสราเอดีคอเนสในรัฐบอสตัน เปรียบเทียบผู้ที่ไม่ดื่มเลยกับผู้ที่ดื่ม สัปดาห์ละ1-6 ดริ๊งค์ โดยใช้อาสาสมัคร6,000 คน พบว่าผู้ที่ดื่มมีความเสี่ยงโรคความจำ เสื่อมน้อยกว่า งานวิจัยจากฮาร์วาร์ดยังแสดงว่าผู้หญิงที่ดื่มวันละดริ๊งค์มีความเสี่ยงจากส โตร๊คชนิดหลอดเลือดแดงอุดตันเพียงครึ่งเดียว


ข้อเสีย : การดื่มมากเร่งให้สมองเสื่อมเร็ว ร่างกายขาดวิตามิน บี1 ถ้ารุนแรงอาจทำให้ ความจำ การเรียนรู้ลดลง เพิ่มความเสี่ยงสโตร๊ค


แอลกอฮอล์และเบาหวาน

ข้อดี : การดื่มในระดับน้อยถึงปานกลาง ช่วยลดความเสี่ยงเบาหวานลงได้ 36 เปอร์เซ็นต์ ทั้งยังลดความเสี่ยงโรคหัวใจในผู้ป่วยเบาหวานด้วย


ข้อเสีย : ทำให้อ้วนเพราะแอลกอฮลล์ให้แคลอรีสูง ซึ่งอาจนำมาสู่โรคเบาหวาน ความดัน และโรคหัวใจ ผู้ดื่มหนักอาจเสี่ยงโรคเมตาบอลิกซินโดรม (อ้วนลงพุงร่วมกับร่างกายดื้อต่อ อินซูลิน ความดันโลหิตสูง คอเลสเทอรอลและไตรกลีเซอไรด์สูง รวมทั้งอันตรายต่อตับ) โดยเฉพาะในผู้ที่เริ่มดื่มเมื่ออายุยังน้อย


แอลกอฮล์และโรคมะเร็ง

ข้อดี : ไวน์แดงและเบียร์ดำมีสารโพลีฟีนอล ซึ่งเป็นสารแอนติออกซิแดนท์สูง (เช่นเดียวกับผลไม้ ผัก และชา) ช่วยป้องกันมะเร็งได้ ฮอพซึ่งใช้ผลิตเบียร์มีสารแอนติออก ซิแดนท์ที่ชื่อว่าแซนโทฮูมอล (xanthohumol) ช่วยชะลอการเติบโตของเซลล์มะเร็งและ เพิ่มฤทธิ์เอนไซม์ซึ่งทำหน้าที่ต่อต้านมะเร็ง


ข้อเสีย : การดื่มมากเกินไปเพิ่มความเสี่ยงมะเร็งในช่องปาก หลอดอาหาร กระเพาะ ตับ เต้านม และลำไส้ใหญ่ สมาคมโรคมะเร็งแห่งสหรัฐอเมริกาเน้นว่าการดื่มเพียงวันละดริ๊งค์ก็ อาจเพิ่มความเสี่ยงมะเร็งเต้านมได้แล้ว


แอลกอฮอล์และกระดูก

ข้อดี : นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยทัฟพบว่าเบียร์มีสารซิลิคอนสูง ซึ่งช่วยสะสมแคลเซียม และแร่ธาตุอื่นๆในกระดูก ช่วยเพิ่มความหนาแน่นของกระดูกสะโพก ป้องกันกระดูกแตกหัก


ข้อเสีย : ซิลิคอนพบมากในอาหารหลายชนิด โดยเฉพาะธัญพืชไม่ขัดสีและผักประเภทราก จึงไม่จำเป็นต้องดื่มจากเบียร์ เพราะแอลกอฮอล์รบกวนการสร้างกระดูกและการทำงานของ แคลเซียม วิตามินดี และฮอร์โมนเอสโตรเจน จึงเพิ่มความเสี่ยงกระดูกพรุนและทำให้กระดูก แตกหักจากการหกล้มได้ง่าย


ความอ้วนกับแอลกอฮอล์

แคลอรีจากแอลกอฮอล์มักสะสมที่พุงมากกว่าแคลอรีจากอาหารชนิดอื่นๆ แต่การดื่ม น้อยกลับเป็นผลดีในการลดพุงได้ แต่ต้องเป็นวันละ 1 ดริ๊งค์เท่านั้น งานวิจัยจากคลินิกเม โยในผู้ใหญ่ 8,200 คนพบว่า ผู้ที่ดื่มวันละดริ๊งลดความเสี่ยงพุงพลุ้ยลงถึง 54 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่ดื่ม แต่การดื่มมากกว่า 4 ดริ๊งค์ขึ้นไปเพิ่มความเสี่ยงโรคอ้วน 46 เปอร์เซ็นต์ เพราะแคลอรีที่ได้จากอาหารจะถูกเปลี่ยนเป็นไขมันสะสมในร่างกาย ยกเว้นว่า เพิ่มการออกกำลังกายให้มากขึ้น ไวน์แก้วขนาด 150 มล. หรือเบียร์ประมาณ 360 มล.(1 กระป๋อง) ให้พลังงานเฉลี่ย 100-150 แคลอรี เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ผสมเครื่องดื่มอย่าง อื่นอาจมีพลังงานสูงถึงหลายร้อยแคลอรี ยิ่งกว่านั้นเมื่อเวลาที่ดื่มสังสรรค์มักจะมีอาหารที่มี แคลอรีสูงกินร่วมด้วย จึงทำให้อ้วนได้ง่าย


การดื่มแอกอฮอล์พอประมาณให้ประโยชน์แก่ร่างกายได้ แต่ไม่จำเป็นที่ต้องแนะนำให้ ดื่มเพื่อสุขภาพ ผู้ที่ควรงดได้แก่หญิงตั้งครรภ์ หญิงให้นมบุตร หรือผู้ขับขี่ยานพาหนะ ผู้ที่ ทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักร ผู้มีปัญหาไขมันไตรกลีเซอไรด์สูง ตับอ่อนอักเสบ หัวใจล้มเหลว หรือผู้รับประทานยาบางชนิดเป็นประจำควรปรึกษาแพทย์ถึงความปลอดภัยในการดื่มด้วย เพราะแอลกอฮอล์อาจมีผลรบกวนต่อการทำงานของ

+ บุหรี่ฆ่าคนปีหน้า 6 ล้าน คอยาเสี่ยงมะเร็งปอดสูงกว่า 23 เท่า +


รายงานมูลนิธิโรค ได้ระบุว่า บุหรี่ทำให้เศรษฐกิจโลกแย่ปีละ 17,000 ล้านบาท คิดเป็น 3.6%ของจีดีพี ขณะที่ทำคนตายปีนี้ 5.5 ล้านนคน...
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคมะเร็งโลกพากันแสดงความวิตกออกมาในรายงานฉบับใหม่ว่า บุหรี่จะคร่าชีวิตประชากรโลกด้วยโรคตั้งแต่มะเร็งไปจนถึงถุงลมปอดโป่งพอง และอื่นๆ ภายในปีหน้าอีกไม่ต่ำกว่า 6 ล้านคนรายงานรวบรวมโทษของบุหรี่ ของมูลนิธิโรคปอดโลกกล่าวแจ้งว่า บุหรี่ทำให้เศรษฐกิจโลกต้องสิ้นเปลืองไปกับรายจ่ายทางการแพทย์ ปริมาณการผลิตที่น้อยลง และภยันตรายในสิ่งแวดล้อม เป็นจำนวนปีหนึ่งๆ ถึง 17,000 พันล้านบาท มันผลาญความมั่งคั่งสมบูรณ์ของชาติคิดเป็นค่าทางเศรษฐกิจในแง่ของผลิตภัณฑ์ มวลรวมลง สูงถึงร้อยละ 3.6บุหรี่และยาสูบเป็นสาเหตุการตายทุก 1 ใน 10 ราย ของทั่วโลก เฉพาะปีนี้ปีเดียวก็มากถึง 5,500,000 ราย ผู้ที่เป็นนักสูบจะเสี่ยงกับการเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งปอดมากกว่าผู้ที่ไม่สูบ 23 เท่า ปัจจุบันมีคอยามากถึง 1 พันล้านราย เป็นผู้ชายในชาติร่ำรวยเสีย ร้อยละ 35 และเป็นคนอยู่ในชาติที่กำลังพัฒนาเสียร้อยละ 50




วันเสาร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2552

* เตือน"เด็ก"นั่งดูทีวี-เล่นเกมมากเกินไป เพิ่มเสี่ยงป่วยความดันสูง *

แพทย์อเมริกัน เสนอผลวิจัยเตือนพ่อแม่ผู้ปกครองอย่าปล่อยให้ลูกๆ นั่งดูทีวี หรือนั่งเล่นเกมหน้าจอทีวีนานเกินไป เพราะเสี่ยงป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูงก่อนวัยอันควร



น.พ.โจอี้ ซี ไอเซนแมน และคณะนักวิจัยมหาวิทยาลัยแห่งรัฐมิชิแกน เก็บข้อมูลเด็ก 111 คน อายุ 3-8 ขวบ เป็นเวลา 1 สัปดาห์ เด็กแต่ละคนจะสวมอุปกรณ์ที่ทำให้ผู้วิจัยล่วงรู้ถึงการประกอบกิจกรรมของร่างกาย และจะให้ผู้ปกครองรายงานว่าเด็กๆ เหล่านี้ใช้เวลามากน้อยเพียงใดไปกับการชมโทรทัศน์ เล่นวิดีโอเกม วาดเขียน นั่งหรือเข้าร่วมกิจกรรมที่ไม่ต้องลงแรงนัก


ผลลัพธ์ปรากฏว่า โดยเฉลี่ยแล้วเด็กจะนั่งอยู่นิ่งๆ วันละ 5 ชั่วโมง และจะใช้เวลาดูโทรทัศน์เฉลี่ยวันละ 1.5 ชั่วโมง



แม้ผลการวิจัยนี้พบว่าพฤติกรรมอยู่นิ่งๆ ไม่ได้เกี่ยวข้องอย่างมีนัยสำคัญกับความดันโลหิต แต่การดูทีวีและเล่นเกมอยู่หน้าจอโทรทัศน์ดูเหมือนส่งผลกระทบไปถึงความดันโลหิต ไม่ว่าเด็กคนนั้นจะเป็นคนอ้วนหรือผอม ทั้งยังพบด้วยว่าเด็กที่อยู่ในกลุ่มดูทีวีและเล่นเกมมากที่สุด จะมีความดันโลหิตสูงขึ้นมาก เมื่อเทียบกับเด็กที่อยู่ในกลุ่มดูทีวีและเล่นเกมน้อยที่สุด หรือเล่นไม่ถึงวันละครึ่งชั่วโมง"วิธีการแก้ปัญหาก็คือปฏิบัติตามคำแนะนำของสถาบันกุมารแพทย์อเมริกัน ซึ่งกำหนดให้เด็กดูทีวีได้ไม่เกินวันละ 2 ชั่วโมง และต้องให้เด็กลุกขยับแข้งขาออกกำลังกายอย่างน้อยวันละ 60 นาที" น.พ.โจอี้ แนะนำผล



วิจัยชี้ด้วยว่า การนั่งอยู่หน้าจอโทรทัศน์นานๆ จะมาควบคู่กับนิสัยชอบทานอาหารไม่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ ซึ่งมีส่วนทำให้เกิดความเครียด ส่งผลให้นอนหลับไม่สนิท และการนอนน้อยจะนำไปสู่อาการความดันโลหิตสูงได้เช่นกัน การค้นพบของน.พ.โจอี้สอดคล้องกับผลการวิจัยก่อนหน้านี้หลายชิ้นที่ระบุว่า การไม่เคลื่อนไหวร่างกายเพิ่มความเสี่ยงเป็นโรคอ้วน และความอ้วนก็เกี่ยวข้องเชื่อมโยงไปถึงความดันโลหิตสูง

- ดาวหาง -


นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยวอชิงตันในนครซีแอตเทิล สหรัฐ ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์สร้างแบบจำลองการพุ่งชนโลกของดาวหาง พบว่าดาวหางไม่ทำให้เกิดการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ของสิ่งมีชีวิตบนโลกเมื่อหลายสิบล้านปีก่อน


นักวิจัยสร้างแบบจำลองวิถีการโคจรของดาวหาง เพื่อสำรวจว่าเกิดการสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตบนโลกกี่ครั้งที่มีสาเหตุมาจากดาวหางพุ่งชน เพราะก่อนหน้านี้นักวิทยาศาสตร์จำนวนมากเชื่อว่าดาวหางหรือดาวเคราะห์น้อยที่พุ่งชนโลกเมื่อ 65 ล้านปีก่อน ทำให้ไดโนเสาร์สูญพันธุ์ และคงจะมีอีกหลายครั้งก่อนหน้านี้ ซึ่งทำลายสิ่งมีชีวิตบนโลก แต่จากแบบจำลองที่สร้างขึ้นโดยนาธาน เคบ และโทมัส ควินน์ แห่งมหาวิทยาลัยวอชิงตัน พบว่าในช่วง 500 ล้านปีที่ผ่านมา น่าจะมีดาวหางเพียง 2-3 ดวงเท่านั้นที่พุ่งชนโลก


นักวิทยาศาสตร์บอกว่า ดาวหางที่ถูกดูดเข้ามาในระบบสุริยจักรวาลมาจากพื้นที่ที่อยู่ห่างไกลซึ่งเป็นที่รวมของเศษซากที่หลงเหลือจากการก่อรูปของระบบสุริยจักรวาลเมื่อประมาณ 4,500 ล้านปีที่แล้ว ที่บริเวณนั้นคือต้นกำเนิดของดาวหางที่ผ่านเข้าใกล้โลก แต่วงโคจรของดาวหางดังกล่าวจะเปลี่ยนแปลงไปตามแรงดึงดูดเมื่อเข้าใกล้ดาวฤกษ์ สิ่งนี้อาจกระตุ้นให้ดาวหางถูกดูดเข้ามาในระบบสุริยจักรวาล ซึ่งมีดวงอาทิตย์เป็นดาวฤกษ์ และเกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า ฝนดาวตก


อย่างไรก็ตาม ข้อมูลที่ได้จากแบบจำลอง พบว่าแม้จะมีดาวหางมากมายถูกดึงดูดเข้ามาในระบบสุริยจักรวาล แต่ดาวพฤหัสและดาวเสาร์ ซึ่งมีขนาดใหญ่ ช่วยป้องกันโลกไว้ และมีดาวหางเพียง 2-3 ลูกที่พุ่งชนโลกในช่วง 500 ล้านปีที่ผ่านมา


โลกได้รับความเสียหายล่าสุดจากการพุ่งชนของดาวหาง เมื่อประมาณ 40 ล้านปีแล้ว แต่ในครั้งนั้นทำให้เกิดการสูญพันธุ์ขนาดย่อมของสิ่งมีชีวิต ดาวหางที่พุ่งชนเป็นส่วนหนึ่งของพายุฝนดาวตกที่มีจำนวนมากที่สุด ส่วนครั้งอื่นมีจำนวนน้อยลงและความรุนแรงน้อยกว่า ซึ่งไม่ได้เป็นสาเหตุของการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ของสิ่งมีชีวิตบนโลก

+ คลายเครียด +



แห้ว - อาหารเสริมของคนอกหัก
ระกำ - อาหารหลักสำหรับคนช้ำใจ
น้ำตา - สุขหรือเศร้าก็มีเขาเป็นเพื่อนแท้
เรื่องใหญ่ - เรื่องของ KU
เ สื อ ก - ความหวังดีที่ผิดกาลเทศะ ไม่มีใครต้องการ
สอด - เป็นชื่อปลาที่น่ารัก ถ้าเป็นกริยาจะน่าถีบ
วิสามัญ - กรณีที่ตำรวจทำปืนลั่นใส่คนร้าย
ดอกเบี้ย - ดอกไม้ที่ไม่เคยโรยรา
ทอง - สูงค่า แต่จะต่ำมากถ้านำหน้าด้วย “ดอก”
ปาก - บ้างมีไว้พูด บ้างมีไว้ถากถาง
ตีน - ไว้ใส่ปากคนที่ชอบถากถาง
กระเทย - เธอทำได้เช่นหญิงทุกอย่าง ยกเว้นออกลูก
ป่า - มีน้อยลงทุกวัน แต่ป่าเดียวกันเริ่มมีมากขึ้น
แ ร ด - ในป่าหายากใกล้สูญพันธุ์ ในเมืองกลับเกลื่อน
เ หี้ ย - วิ่งพล่านยามมีคนโกรธ
งู - สัตว์ชนิดหนึ่งพ่อเฒ่านิยมเลี้ยงไว้บนศีรษะ
ตีนกา - ตีนสัตว์ที่คุณหญิงไม่ปรารถนา
ตำราเรียน - สิ่งที่ใช้หนุนหัวแทนหมอนยามใกล้สอบ
ปริญญา - สิ่งที่สังคมไทยใช้วัดค่าของคน
โทรฯมือถือ -เครื่องประดับที่วัยรุ่นมีไว้โชว์ว่าข้ารวย $$
ขยะ - แยกประเภทแล้ว Recycle กลับมาใช้ใหม่ได้
ขยะสังคม - ไม่ควร Recycle กลับมาใช้ใหม่
ตอแหล - อาการของคนฉ้อฉลที่บอกว่าตนโปร่งใส
เช้าชาม เย็นชาม - วิธีประหยัดงบประมาณของภาครัฐ
ม๊อบ - กลุ่มคนที่งานการไม่ทำชอบทำการปิดยึดถนน
อภิปรายไม่ไว้วางใจ - การแสดงโต้วาทีระดับชาติ
ปาหี่ - การแสดงชนิดหนึ่ง ปัจจุบันหาชมได้ที่รัฐสภา
สาดโคลน - การละเล่นชนิดหนึ่งของนักการเมืองไทย
หน้าด้าน - อาการดื้อชนิดหนึ่งที่ประชาชนไล่แล้วไม่ยอมไป
ธรรมะ - ถ้าตามด้วย “ชโย” ไม่ต้องพูดกัน
ชีวิต - เป็นอะไรที่เลือกได้บ้างไม่ได้บ้าง
ความสุข - เป็นช่วงเวลาที่มักจะผ่านไปรวดเร็วเหลือเกิน
อก - ในวัยรุ่นมักจะเปราะบางหักบ่อยๆ
รัก - ไข้ใจชนิดหนึ่ง มีอาการหลากหลาย


วันเสาร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2552

* สุดยอด 7 ความเข้าใจผิดทางการแพทย์ *

คนเรามักมีความเชื่อที่ถูกสอนกันมาเกี่ยวกับสุขภาพซึ่งบางครั้งเป็นความเชื่อที่ผิดๆ ดังนั้นวันนี้เราจะมาดูกันว่า 7 สุดยอดความเชื่อที่ผิดทางการแพทย์มีอะไรบ้างจากวารสารวิชาการ British Medical Journal และ American Journal of Psychology ซึ่งมีผู้วิจัยคือ ผศ.ดร Aaron Carroll หมอทันตกรรมเด็กจากสถาบัน Regenstrief ที่ Indianapolis และ Rachel Vreeman นักวิจัยใน children’s health services research ที่ Indiana University School of Medicine ได้จัดอันดับความเชื่อที่ผิดทางการแพทย์ออกมาดังนี้

อันดับ 1 อ่านหนังสือในที่มืดทำให้สายตาเสีย ผู้เชี่ยวชาญทางสายตากล่าวว่า การอ่านหนังสื่อในที่ที่มีแสงไม่เพียงพอจะไม่ทำให้สายตาเสียแต่จะทำให้คุณต้องหรี่ตาลง กระพริบตาเพิ่มขึ้น และมีปัญหาในการหาจุดโฟกัส

อันดับ 2 การโกนขนไม่ทำให้ขนงอกเร็วขึ้นหรือแข็งกระด้างขึ้น การโกนขึ้นไม่มีผลต่อความแข็ง หนา ของเส้นขนและไม่ทำให้อัตราการงอกของขนเพิ่มเร็วขึ้น แต่ขนที่พึ่งงอกมันยังขาดสารเคลือบ ทำให้เรารู้สึกไปว่ามันแข็งและหยาบขึ้น

อันดับ 3 ทานไก่งวงแลัวจะง่วงนอน (อันนี้เหมือนบ้านเราที่ทานข้าวเหนียวแล้วง่วงรึเปล่านะ) กรดอะมิโนตัวการที่สำคัญที่ทำให้รู้สึกง่วงนอนคือ ทริปโตเฟน (Tryptophan) แต่ไก่งวงไม่ได้มีกรดอะมิโนตัวนี้มากไปกว่าไก่หรือเนื้อวัว ซึ่งตัวการที่สำคัญที่ทำให้รู้สึกง่วงนอนก็คือการดื่มและทานอาหารมากไปในวันคริสต์มาส

อันดับ 4 เราใช้ 10% ของสมองในการทำงาน ความเชื่อนี้เกิดขึ้นในปี 1907 แต่ปัจจุบันการแสกนสมองเผยให้เห็นว่าไม่มีส่วนไหนในสมองที่มีการหลับหรือไม่ทำงานเลย

อันดับ 5 เล็บและผมสามารถยาวได้หลังจากตายไปแล้ว เรื่องนี้ได้ความคิดมาจากนิยาย ghoulish ซึ่งนักวิจัยระบุว่าหลังจากตายไปแล้ว ผิวจะแห้งและหดกลับ ทำให้มองดูเหมือนผมและเล็บจะยาวขึ้น

อันดับ 6 โทรศัพท์มือถือเป็นอันตรายในโรงพยาบาล ความเชื่อนี้แพร่หลายมาก แต่จากการวิจัยพบว่าโทรศัพท์มือถือรบกวนอุปกรณ์ทางการแพทย์น้อยมาก

อันดับ 7 การดื่มน้ำวันละ 8 แก้วทำให้สุขภาพดี ไม่มีผลการวิจัยไหนที่ระบุหรือสนับสนุนความคิดนี้เลย

วันพฤหัสบดีที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

,, มันมั่ยจำเปน +

>> คบเพื่อนดีก็ดีไป คบเพื่อนเลวก็ซวยไป คบเพื่อนเลวๆคบหมาดีกว่า <<


ถ้าวันหนึ่ง...เพื่อนคุณด่าคุณโดยที่คุณยังไม่ทำอะไรให้เขาเลย
และยังจะมองคุณด้วยหางตาอีก แล้วนำคุณไปนินทา

.
.
.

คุณจะคิดยังไงกับเพื่อนคนนี้...
แต่สำหรับเรานะ คนคนนั้นแม้แต่หางตาเราก็ยังจะไม่มองเลย...


วันจันทร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

+ Asanha Puja and Buddhist Lent +

Asanha Puja and Buddhist Lent

The Asanha Puja Day is one of the sacred days in Buddhism as it marks the coming into existence of the Triple Gems, namely ; the Lord Buddha, His Teachings and His Disciples. The day falls on the fifteenth day of the waxing moon of the eighth lunar month (July). It is an anniversary of the day on which Lord Buddha delivered the First Sermon to his first five disciples at the Deer Park in Benares over two thousand five hundred years ago.
To observe this auspicious day, Buddhists all over the country perform merit-making and observe Silas (Precepts). Some go to the temples to offer food and offerings to the monks and also listen to a sermon to purify their minds. The Asanha Puja Day falls on the day preceding the Buddhist Lent which starts on the fist day of the waning moon of the eighth lunar month.
The tradition of Buddhist Lent or the annual three-month Rains Retreat known in Thai as “Phansa” dates back to the time of early Buddhism in ancient India, all holy men, mendicants and sages spent three months of the annual rainy season in permanent dwellings. They avoided unnecessary travel during the period when crops were still new for fear they might accidentally step on young plants. In deference to popular opinion, Lord Buddha decreed that his followers should also abide by this ancient tradition, and thus began to gather in groups of simple dwellings.
Buddhist Lent covers a good part of the rainy season and lasts three lunar months. In Thailand, Buddhist monks resolve to stay in a temple of the choice and will not take an abode in an other temple until the Lent is over.
The celebration of the beginning of Buddhist Lent is marked by the ceremony of presenting candles to the monks. Various institutions e.g. schools and universities, including public and private organisations will organise a colourful candle procession leading to a temple where the offering of the candles will be made.
Some Buddhist followers consider the beginning of Buddhist Lent as a time for making resolution such as refraining from smoking or observing five precepts (Panjasila) throughout the three-month Rains Retreat.

วันเสาร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2552

+ อียิปต์โบราณ +

อียิปต์โบราณ หรือ ไอยคุปต์ เป็นหนึ่งในอารยธรรมที่เก่าแก่ที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง ตั้งอยู่ทางตอนตะวันออกเฉียงเหนือของทวีปแอฟริกา มีพื้นที่ตั้งแต่ตอนกลางจนถึงปากแม่น้ำไนล์ ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของประเทศอียิปต์ อารยธรรมอียิปต์โบราณเริ่มขึ้นประมาณ 3150 ปีก่อนคริตศักราช โดยการรวมอำนาจทางการเมืองของอียิปต์ตอนเหนือและตอนใต้ ภายใต้ฟาโรห์องค์แรกแห่งอียิปต์ และมีการพัฒนาอารยธรรมเรื่อยมากว่า 3,000 ปี ประวัติของอียิปต์โบราณปรากฏขึ้นในช่วงระยะเวลาหนึ่ง หรือที่รู้จักกันว่า "ราชอาณาจักร" มีการแบ่งยุคสมัยของอียิปต์โบราณเป็นราชอาณาจักร ส่วนมากแบ่งตามราชวงศ์ที่ขึ้นมาปกครอง จนกระทั่งราชอาณาจักรสุดท้าย หรือที่รู้จักกันในชื่อว่า "ราชอาณาจักรใหม่" อารยธรรมอียิปต์อยู่ในช่วงที่มีการพัฒนาที่น้อยมาก และส่วนมากลดลง ซึ่งเป็นเวลาเดียวกันที่อียิปต์พ่ายแพ้ต่อการทำสงครามจากอำนาจของชาติอื่น จนกระทั่งเมื่อ 31 ปีก่อนคริตศักราชก็เป็นการสิ้นสุดอารยธรรมอียิปต์โบราณลง เมื่อจักรวรรดิโรมันสามารถเอาชนะอียิปต์ และจัดอียิปต์เป็นเพียงจังหวัดหนึ่งในจักรวรรดิโรมัน
อารยธรรมอียิปต์พัฒนาการมาจากสภาพของลุ่มแม่น้ำไนล์ การควบคุมระบบชลประทาน, การควบคุมการผลิตพืชผลทางการเกษตร พร้อมกับพัฒนาอารยธรรมทางสังคม และวัฒนธรรม พื้นที่ของอียิปต์นั้นล้อมรอบด้วยทะเลทรายเสมือนปราการป้องกันการรุกรานจากศัตรูภายนอก นอกจากนี้ยังมีการทำเหมืองแร่ และอียิปต์ยังเป็นชนชาติแรกๆที่มีการพัฒนาการด้วยการเขียน ประดิษฐ์ตัวอักษรขึ้นใช้ ,การบริหารอียิปต์เน้นไปทางสิ่งปลูกสร้าง และการเกษตรกรรม พร้อมกันนั้นก็มีการพัฒนาการทางทหารของอียิปต์ที่เสริมสร้างความแข็งแกร่งแก่ราชอาณาจักร โดยประชาชนจะให้ความเคารพกษัตริย์หรือฟาโรห์เสมือนหนึ่งเทพเจ้า ทำให้การบริหารราชการบ้านเมืองและการควบคุมอำนาจนั้นทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ชาวอียิปต์โบราณไม่ได้เป็นเพียงแต่นักเกษตรกรรม และนักสร้างสรรค์อารยธรรมเท่านั้น แต่ยังเป็นนักคิด, นักปรัชญา ได้มาซึ่งความรู้ในศาสตร์ต่างๆมากมายตลอดการพัฒนาอารยธรรมกว่า 3,000 ปี ทั้งในด้านคณิตศาสตร์, เทคนิคการสร้างพีระมิด, วัด, โอเบลิสก์, ตัวอักษร และเทคนิคโลยีด้านกระจก นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาประสิทธิภาพทางด้านการแพทย์, ระบบชลประทานและการเกษตรกรรม อียิปต์ทิ้งมรดกสุดท้ายแก่อนุชนรุ่นหลังไว้คือศิลปะ และสถาปัตยกรรม ซึ่งถูกคัดลอกนำไปใช้ทั่วโลก อนุสรณ์สถานที่ต่างๆในอียิปต์ต่างดึงดูดนักท่องเที่ยว นักประพันธ์กว่าหลายศตวรรษที่ผ่านมา ปัจจุบันมีการค้นพบวัตถุใหม่ๆในอียิปต์มากมายซึ่งกำลังตรวจสอบถึงประวัติความเป็นมา เพื่อเป็นหลักฐานให้แก่อารยธรรมอียิปต์ และเป็นหลักฐานแก่อารยธรรมของโลกต่อไป

วันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

+ มหาวิทยาลัยยอดนิยม 10 อันดับ +

1.จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
2. มหาวิทยาลัยมหิดล
3. มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
4. มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
5. มหาวิทยาลัยศิลปากร
6. มหาวิทยาลัยนเรศวร
7. มหาวิทยาลัยขอนแก่น
8. มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
9. มหาวิทยาลัยหัวเฉียว
10.มหาวิยาลัยบูรพา

วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

+ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ +




ท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ หรือ สนามบินสุวรรณภูมิ (ชื่อเดิม: สนามบินหนองงูเห่า) เป็นสนามบินตั้งอยู่ที่ ถนนบางนา-ตราด ในตำบลราชาเทวะ อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ เปิดใช้งานวันที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2549 โดยใช้งานแทนท่าอากาศยานดอนเมือง นโยบายรัฐบาลได้กำหนดท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิเป็นท่าอากาศยานหลักของประเทศ และจะเป็นศูนย์กลางการบินในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์
จากข้อมูลการจัดอันดับล่าสุดของเว็บไซต์ "สมาร์ตทราเวลดอตคอม" ที่มีการสำรวจความเห็นของผู้เดินทางทั่วโลกเปิดเผยว่า ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิของไทยนั้นได้รับการจัดอันดับให้เป็นท่าอากาศยานยอดเยี่ยมอันดับที่ 4 ของโลก รองจาก
ท่าอากาศยานนานาชาติฮ่องกง ท่าอากาศยานสิงคโปร์ชางงี และท่าอากาศยานนานาชาติกัวลาลัมเปอร์ของมาเลเซีย



ชื่อของสนามบินสุวรรณภูมิ มีความหมายว่า "แผ่นดินทอง" เป็นชื่อพระราชทานโดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เมื่อวันที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2543 และเสด็จพระราชดำเนินทรงประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์อาคารผู้โดยสารท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ในวันที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2545
ชื่อสากลของสนามบินสะกดตามการถ่ายตัวสะกด
ภาษาสันสกฤต ว่า "Suvarnabhumi" แทนการเขียนทับศัพท์ตามระบบราชบัณฑิตยสถาน ซึ่งสะกดว่า "Suwannaphum"



การก่อสร้าง
แบบแปลนโครงสร้างของท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ
สถาปนิกผู้ออกแบบอาคาร คือ
เฮลมุต ยาห์นชาวอเมริกัน-เยอรมัน และบริษัทเมอร์ฟี/ยาห์นสำนักงานใหญ่ที่ชิคาโก ซึ่งแบบอาคารสนามบินได้ถูกปรับเปลี่ยน ขนาดอาคาร และวัสดุจากแบบเดิมไปในหลายส่วน เช่น เพิ่มการประดับยักษ์ และสถาปัตยกรรมไทยเพิ่มเข้าไปโดยสถาปนิกชาวไทย










วันอังคารที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

+ ไข้หวัดสายพันธ์ใหม่ 2009 H1N1 +

ไข้หวัดหมู Swine Flu
ชื่อใหม่เป็นทางการ ไข้หวัดสายพันธ์ใหม่ 2009 H1N1

ประเทศไทยเรียกไข้หวัดหมูว่า “ไข้หวัดเม็กซิโก” เนื่องจากไม่ต้องการให้คนกลัวไม่รับประทานเนื้อหมู และต่อมาก็เปลี่ยนเป็น “ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 H1N1” เมื่อวันที่ 2 พ. ค. 2552

เหตุผลที่ประเทศไทยไม่ใช้ชื่อ “ไข้หวัดหมู” Swine Flu ตั้งแต่แรกเนื่องจากกลัวประชาชนจะแตกตื่นเลิกกินเนื้อหมู
เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2552 องค์การอนามัยโลก WHO ก็ประกาศให้เปลี่ยนชื่อ SWINE FLU เป็น H1N1 FLU


สำหรับหลักเกณฑ์องค์การอนามัยโลกเรียกเหตุการโรคระบาด แบ่งเป็น 6 ระดับนับตั้งแต่เบาสุดไปถึงรุนแรงระบาดไปทั่วโลก ดังนี้ครับ

ระดับ 1 ยังไม่มีรายงานจากสัตว์สู่คน

ระดับ 2 มีการติดเชื้อในหมู่สัตว์เลี้ยงและสัตว์ป่าตามธรรมชาติซึ่งมีโอกาสติดมนุษย์ได้

ระดับ 3 พบการระบาดจากสัตว์สู่มนุษย์ในวงเล็กๆ เช่นที่เม็กซิโกในช่วงแรก และมีการติดต่อจากมนุษย์สู่มนุษย์ในบางกรณี เช่นติดได้ง่ายในผู้ที่ไม่แข็งแรงหรือไม่ได้ป้องกันตัวดีพอ

ระดับ 4 พบการติดเชื้อจากมนุษย์สู่มนุษย์ในวงกว้างขึ้น เช่นเดียวกับในขณะนี้ที่ลานไปถึงยุโรปและเอซียบางประเทศ เนื่องจารการเดินทางโดยเครื่องบินพาให้เชื้อไปได้เร็วขึ้น

ระดับ 5 มีการติดเชื้อจากมนุษย์สู่มนุษย์อย่างน้อยในสองประเทศในหนึ่งเขตที่องค์การอนามัยโลกดูแลอยู่ ซึ่งถ้าถูกจัดให้อยู่ในระดับ 5 นี้เมื่อใดให้เตรียมแผนรับมือการระบาดใหญ่ได้ให้ดี

ระดับ 6 ขั้นระบาดรุนแรงคือมีการติดเชื่อลามไปตามประเทศต่างๆ ในเขตดูแลอื่นขององค์การอนามัยโลกอีก อาจเรียกได้ว่าเป็นขั้นระบาดระดับโลก


สัญญาณร้านไข้หวัดสายพันธืใหม่ 2009 H1N1

1. มีไข้สูงลอยไม่ทราบสาเหตุ กินยาแล้วไม่หาย

2. ปวดเมื่อยตามตัว เบื่ออาหาร

3. มีน้ำมูก ไอรุนแรงจตถึงขั้นหอบ

4. มีประวัติสัมผัสกับผู้ที่เป็นโรคหรือผู้ที่มาจากประเทศเม็กซิโก

5. เป็นคนเลี้ยงหมู ขายหมูหรือมีนิวาสสถานอยู่ใกล้กับลานเลี้ยงหมู

วันพุธที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2552

+ วิธีดูแลต้นไม้ในหน้าร้อน +


1. การรดน้ำ ควรรดในตอนเช้าหรือเย็น ช่วงที่อากาศไม่ร้อนจนเกินไป ซึ่งเวลาที่เหมาะสม คือ 6.00 - 8.00 น. และ 17.00 ถึง 21.00 น. ไม่ควรรดน้ำในตอนกลางวันที่แดดจัด เพราะเปรียบเสมือน การเอาน้ำร้อนมารดต้นไม้นั่นเอง อาจรดวันละครั้งในปริมาณที่มากกว่าปกติ หรือรดวันละ 2 ครั้ง เช้าและเย็น วิธีรด คือ ควรรดรอบโคนต้นไม้ให้ชุ่มและรดพุ่มใบ ด้วยเพื่อให้ใบพืชซึมซับน้ำ เข้าทาง ปากใบ และลดการคายน้ำ หลังรดน้ำสายยางควรม้วนเก็บให้เรียบร้อย ไม่ควรวางทับสนามหญ้า เพราะนอกจาก จะดูไม่เรียบร้อย น้ำที่ค้างอยู่ในสายยางที่ตากแดดจัดจะร้อนทำให้หญ้าตายได้


2. การใส่ปุ๋ย พยายามอย่าให้เม็ดปุ๋ยติดค้างอยู่ที่ใบและยอด เพราะจะทำให้เกิดอาการใบไหม้ได้ หรือใส่ก่อนรดน้ำ สำหรับการใส่ปุ๋ยทางใบและฉีดยาฆ่าแมลง ไม่ควรฉีดพ่นในขณะที่อากาศร้อนจัด จะทำให้ใบไหม้และไม่ได้ประโยชน์เต็มที่ เพราะในช่วงที่อากาศร้อน ปากใบพืชจะปิดเพื่อลดการคายน้ำ การใส่ปุ๋ยไม่ควรใส่บ่อยเกินไปถ้าไม่จำเป็น จะเป็นการเร่งการแตกใบใหม่ ซึ่งใบอ่อนจะไม่ทน กับอากาศ และแสงแดดที่ร้อนจัด


3. การพรวนดินให้ร่วนซุยเป็นประจำ จะทำให้ดินโปร่ง มีช่องว่างในเนื้อดินดูดซับน้ำไว้ได้มาก ทำให้น้ำซึมซับลงในดินในระดับที่ลึกกว่าปกติ ถ้าดินแห้งเกินไปอาจใช้วัสดุปลูกมาคลุมแปลงหรือโคนต้น ช่วยดูดซับน้ำ เช่น กาบมะพร้าวสับหรือหญ้าที่แห้งและปราศจากเชื้อโรคและวัชพืช


4. ควรมีการตัดแต่งกิ่ง กระโดง กิ่งเป็นโรค และกิ่งที่ไม่มีความจำเป็น เพื่อลดการคายน้ำของพืช
รู้อย่างนี้แล้ว อย่าลืมหันมาดูแลเอาใจใส่ต้นไม้ให้ช่วงหน้าร้อนให้ถูกวิธี เพื่อที่จะได้ช่วยยืดอายุของต้นไม้ให้อยู่ไปนาน ๆ



วันศุกร์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2552

5 อันดับสัตว์ที่มีพิษร้างแรงที่สุดในโลก

อันดับที่ 5 ได้แก่ Death Stalker Scorpion - แมงป่องพันธุ์ เดธท์ สตอลเกอร์



แมงป่องโดยทั่วไปนั้น ถึงแม้ว่าจะโดนกัด พิษของมันก็ไม่สามารถที่จะทำอะไรมนุษย์ได้มากนัก อาจจะเจ็บปวดนิดหน่อย แต่.....มันไม่ใช่สำหรับแมงป่อง พันธุ์ เดธท์ สตอลเกอร์ เลย เพราะพิษของมันสามารถทำลายระบบ ประสาทได้ ถ้าคุณโดนมันกัด คุณจะปวดอย่างมหาศาล จากนั้นจะตามมาด้วยอาการไข้ขึ้น เป็นอัมพาต และตายในที่สุด แต่ถึงแม้พิษมันจะร้ายแรงมาก แต่มันก็ไม่สามารถฆ่ามนุษย์ที่เป็นผู้ใหญ่ได้ แต่ว่า มันจะเป็นอันตรายต่อ เด็ก ทารก คนแก่ อย่างมาก ถึงแม้ว่ามันไม่สามารถที่จะฆ่าผู้ใหญ่ได้ แต่มันก็ทำให้เป็นอัมพาตได้นะ =.=









อันดับที่ 4 Blue-Ringed Octopus - ปลาหมึกแหวนน้ำเงิน



ปลาหมึกแหวนน้ำเงินนั้นมีขนาดที่เล็กมาก ขนาดประมาณลูกกอลฟ์เท่านั้นเอง แต่ขนาดไม่ใช่ปัญหาสำหรับความรุนแรงของพิษมันเลย เพราะพิษมันสามารถฆ่าคนได้ภายในไม่กี่นาที และที่สำคัญ มันยังไม่มียาแก้พิษ =.= ถ้าโดน ปลาหมึกแหวนน้ำเงินกัดละก็ คุณจะไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไรมากหรอก แต่ว่า พิษมันจะเริ่มทำลายระบบประสาทของคุณ หลังจากนั้นคุณจะรู้สึกอ่อนแอ และคุณก็จะเริ่มควบคุมตัวเองไม่ได้ ระบบหายใจการจะเริ่มล้มเหลว หลังจากนั้น ก็ตายในที่สุด >> น่ากลัวไหมล่ะครับ เล็กพริกขี้หนูจริงๆ










อันดับที่ 3 Marbled Cone Snail - หอยเต้าปูนลายหินอ่อน

หอยเต้าปูน ตัวเล็กๆ สีสันสวยงาม แต่!!! พิษของมันนะหรอ เพียงแค่หยดเดียว สามารถฆ่าคนได้ถึง 20 คน ถ้าคุณเล่นน้ำที่ทะเลที่มันค่อนข้างอุ่นๆ แล้วเห็นเจ้าตัวนี้อยู่ อย่าคิดที่จะหยิบมันมาเล่นเลยนะครับ แค่ดูมันอยู่ห่างๆก็พอแล้ว เพราะถ้าคุณโดนพิษมันเล่นงานละก็ คุณจะปวด หลังจากนั้นก็จะเริ่มบวม ระบบกาหายใจเริ่มล้มเหลว ร่างกายจะคันหยุกหยิก เป็นอัมพาต แล้วก็ตายในที่สุด แต่ยังไงก็ตาม มีรายงานว่ามีแค่ 30 คนเท่านั้นที่ตายเพราะหอยเต้าปูน





อันดับที่ 2 King Cobra - งูจงอาง


งูจงอางหรือชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Ophiophagus hannah เป็นงูพิษที่มีลำตัวยาวที่สุดในโลก ด้วยขนาดโตสุดที่ 5.6 เมตร งูจงอางนั้น เรารู้กันว่าอาหารโปรดของมันก็คือ งู !!! นั่นหมายความว่ามันกินสัตว์ตระกูลเดียวกัน และเพียงแค่โดนมันกัดเพียงครั้งเดียว ก็ทำให้คนตายได้อย่างง่ายๆ และพิษของมันนั้น สามารถฆ่าช้างที่โตเต็มวัยได้เพียงแค่ 3 ชั่วโมง ในส่วนของมันนั้น ส่วนประกอบของมันแตกต่างกับพิษงูโดยทั่วไป ที่สำคัญ มันพบได้ทั่วไป ในทวีปเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ และในประเทศไทย





ในที่สุดก็มาถึงอันดับที่ 1 สัตว์ที่ครองแชมป์ สัตว์ที่มีพิษร้ายแรงที่สุดในโลก ได้แก่...

อันดับ 1 ได้แก่ Box Jellyfish - แมงกระพรุนกล่อง


และแล้วแมงกระพรุนกล่องก็ได้เป็นแชมป์สัตว์ที่มีพิษร้ายแรงที่สุดในโลก รายงายว่ามันฆ่าคนไปแล้ว 5,567 คน พิษของมันนั้นจะไปทำลาย หัวใจ ระบบประสาท ผิวหนัง และที่สำคัญ ถ้าโดนพิษมันจะเจ็บปวดอย่างที่สุด ส่วนใหญ่คนที่โดนพิษมันนั้น มันที่จะ ช๊อค และหัวใจล้มเหลว ก่อนที่จะกลับเข้าถึงฝั่ง แต่ถ้าคุณโดนพิษมันก็ยังมีโอกาสที่จะรอดอยู่นั่นคือ ต้องรีบเอาน้ำส้มสายชู มาล้างอย่างน้อย 30 วินาที เพราะมันจะทำลายพิษของแมงกระพรุนกล่องก่อนที่มันจะเข้าไปสู่กระแสเลือด

... มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ ...

รูปจากทางอากาศของมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์

มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ตอนกลางคืน


มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ รู้จักกันโดยชาวอิตาลีว่า Basilica di San Pietro in Vaticano หรือเรียกกันสั้นๆว่าเซนต์ปีเตอร์บาซิลิกา (Saint Peter's Basilica) มหาวิหารนี้เป็นมหาวิหารหนึ่งในสี่ของมหาวิหารหลักในกรุงโรม, ประเทศอิตาลี (อีกสามมหาวิหารคือ: มหาวิหารเซ็นต์จอห์นแลเตอร์รัน, มหาวิหารซานตามาเรียมายอเร (Santa Maria Maggiore) และ มหาวิหารเซ็นต์พอลนอกกำแพง (St. Paul outside the Walls)


ประวัติ
มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์เป็นสิ่งก่อสร้างที่ใหญ่และสำคัญที่สุดใน
นครรัฐวาติกันสร้างทับวิหารเดิมที่ชื่อเดียวกัน โดมของมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์สูงโดดเด่นสามารถเห็นได้แต่ไกลในตัวเมืองโรม วัดนี้ตั้งอยู่ในเนื้อที่ประมาณ 2.3 เฮกตาร์ สามารถจุคนได้กว่า 60,000 คน เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดที่หนึ่งของคริสตชนนิกายโรมันคาทอลิก ที่ตั้งวัดเชื่อกันว่าเป็นที่ฝังร่างของ นักบุญปีเตอร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในสาวกสิบสององค์ของพระเยซู นักบุญปีเตอร์เดิมเป็นบาทหลวงองค์แรกของอันติโอก (Antioch) ต่อมาก็ได้สถาปนาขึ้นเป็นพระสันตะปาปาองค์แรกของโรม เพราะนิกายโรมันคาทอลิกเชื่อกันว่าร่างของนักบุญปีเตอร์ถูกฝังไว้ที่นี่ จึงเป็นประเพณีกันต่อมาว่าพระสันตะปาปาหลายองค์ก็ฝังไว้ที่วัดนี้ ตัวมหาวิหารปัจจุบันเริ่มสร้างเมื่อปีวันที่ 18 เมษายน ค.ศ. 1506 บนวัดแบบคอนแสตนทีน และเสร็จเมื่อปี ค.ศ. 1626 แต่เดิมนั้นมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์มิได้เป็นสถานที่พำนักประจำตำแหน่งของพระสันตะปาปาเช่นปัจจุบันนี้ (สถานที่ประจำตำแหน่งของสันตะปาปาเดิมอยู่ที่มหาวิหารเซ็นต์จอห์น แลเตอร์รัน) ถึงกระนั้นก็ยังถือกันว่าเป็นวัดสำคัญวัดหนึ่ง เพราะวัดนี้ตั้งอยู่ในตัวนครรัฐวาติกันเอง และมีเนื้อที่มาก การทำพิธีต่างๆที่เกี่ยวกับพระสันตะปาปาก็จะมาทำกันที่นี่ นอกจากนั้นก็ยังมีบัลลังก์บิชอปปีเตอร์ (Cathedra Petri) ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นบัลลังก์ของนักบุญปีเตอร์เองเมื่อดำรงตำแหน่งเป็นสันตะปาปาที่นี่ แต่ปัจจุบันนี้เก้าอี้นี้ไม่ได้ใช้เป็นบัลลังก์บิชอปอึกแล้ว แต่ยังเก็บไว้ไต้ฐานแท่นบูชาที่ออกแบบโดยจานลอเรนโซ เบร์นินี




มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์เก่า
มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ จากภาพเขียนโดยวิเวียโน โคดาซซี (Viviano Codazzi) เมื่อ ค.ศ. 1630 หอสองหอที่เห็นในภาพถูกรี้อภายหลัง
มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์เก่าเป็นวัดศตวรรษที่ 4 ซึ่งมีรูปทรงแบบบาซิลิคา พอมาถึง
ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาก็อยู่ในสภาพที่ทรุดโทรมมากเพราะพระสันตะปาปาย้ายที่พำนักไปอยู่ที่เมืองอาวินยอง (Avignon) ประเทศฝรั่งเศส ระหว่างปี ค.ศ. 1309 ถึงปี ค.ศ. 1377 การตัดสินใจสร้างมหาวิหารใหม่ก็เพื่อจะได้สร้างมหาวิหารที่ใหม่กว่าและใหญ่กว่าเดิมมากได้สะดวก การใช้ชื่อมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์เก่าก็ใช้มาตั้งแต่เมื่อสร้างมหาวิหารปัจจุบัน เพี่อเป็นการแสดงถึงความแตกต่างระหว่างสิ่งก่อสร้างปัจจุบันและสิ่งก่อสร้างเดิม


ที่ฝังพระศพของนักบุญปีเตอร์
เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม ค.ศ. 1950 ระหว่างการออกอากาศทางวิทยุ
สมเด็จพระสันตะปาปาปิอุสที่ 12ประกาศว่าได้มีการค้นพบที่ฝังพระศพของนักบุญปีเตอร์หลังจากที่นักโบราณคดีใช้เวลา 10 ปีศึกษาขุดค้นห้องใต้ดิน (crypt) ภายในมหาวิหาร



ที่ฝังศพอื่นๆ
ภายในมหาวิหารมีที่ฝังศพกว่าร้อยที่ บางที่อยู่ภายในถ้ำวาติกัน (Vatican grotto) ซึ่งอยู่ภายใต้มหาวิหาร ภายในถ้ำมีพระสันตะปาปาฝังไว้ 91 องค์ บุคคลสำคัญๆที่ฝังภายในมหาวิหารก็มี
นักบุญอิกเนเชียสแห่งอันติโอก (St. Ignatius of Antioch)
พระเจ้าอ็อตโตที่ 3 แห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์
จิโอวานี เพียลุยจี แห่ง พาเลสทรินา (Giovanni Pierluigi da Palestrina) -
คีตกวี
เจมส์ ฟรานซิส เอ็ดเวิร์ด สจวต (James Francis Edward Stuart) และโอรสอีกสององค์ ผู้หนีภัยจากอังกฤษ
ชาร์ลส์ เอ็ดเวิร์ด สจวต (Charles Edward Stuart) - โอรสของเจมส์ ฟรานซิส เอ็ดเวิร์ด
เฮนรี เบเนดิกต์ สจวต (Henry Benedict Stuart) - โอรสของเจมส์ ฟรานซิส เอ็ดเวิร์ด
พระราชินีคริสตีนาแห่ง
ประเทศสวีเดน (Christina of Sweden) ผู้สละราชสมบัติเพื่อเปลี่ยนมานับถือนิกายคาธอลิก



หินอ่อนจากโคลอสเซียม
เมื่อ
สมเด็จพระสันตะปาปานิโคลัสที่ 5 เริ่มสร้างมหาวิหาร พระองค์สั่งซื้อหิน 2,522 เล่มเกวียนจาก โคลอสเซียมที่อยู่ในสภาพที่เสื่อมโทรม เงินที่ซื้อหินเอามาจากสมบัติที่ขนมาจากเยรูซาเลมเมื่อเยรูซาเลมเสียเมือง และจากการทำลายวัดโดยนายพลของจักรพรรดิเวสปาเชียน (Vespasian) ผู้ที่ต่อมาได้เป็นจักรพรรดิไททัส (Titus) เมื่อ ค.ศ. 70